ในลำดับต่อมา หลวงพ่อสงบ กุสลจิตฺโต ได้ออกมาปกป้อง อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล ความว่า “ทำถูกต้องแล้วฝากไว้ด้วยนะ อย่ากล่าวหาอาจารย์อ้อยนะ ไอ้เราขี้ยังเต็มหัวใจอยู่เลย ก้างก็ยังเต็มใจอยู่เนี่ย จะมีสิทธิ์อะไรไปกล่าวหาเขาผู้ที่เหลือน้อยๆนะ มันน่าอายนะ”
นิตยสารข้ามห่วงมหรรณพกับ อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล.(2561).เค้าก็พูดถูก คนพูดถูก มันก็ถูกน่ะ.สืบค้นเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2561 จาก https://www.facebook.com/5000sMagazine/videos/1376692235808528/
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) ท่านได้เขียนไว้ในหนังสือกรณีธรรมกาย (2559,หน้า 36-37) ความว่า
“ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสหลักมหาปเทส 4 ไว้ได้แก่ที่อ้างอิงใหญ่หรือหลักใหญ่สำหรับใช้อ้างเพื่อสอบสวนเทียบเคียงเริ่มแต่หมวดแรกที่เป็นชุดใหญ่ซึ่งแยกเป็น
1.พุทธาปเทส (ยกเอาพระพุทธเจ้าขึ้นอ้าง)
2.สังฆาปเทส (ยกเอาสงฆ์ทั้งหมู่ขึ้นอ้าง)
3.สัมพหุลัตเถราปเทส (ยกเอาพระเถระจำนวนมากขึ้นอ้าง)
4.เอกเถราปเทส (ยกเอาพระเถระรูปหนึ่งขึ้นอ้าง)
(ที.ม.10/113/144;องฺ.จตุกฺก.21/180/227)
ทั้ง 4 กรณีนี้เพื่อตรวจสอบในพระสูตรเพื่อเทียบเคียงในวินัยถ้าลงกันสมกันจึงยอมรับกันได้
นอกจากนั้นถ้าเป็นปัญหาหรือข้อสงสัยที่จำกัดลงมาในส่วนพระวินัยก็สามารถใช้หลัก มหาปเทส 4 ชุดที่สองตรวจสอบซึ่งจะไม่กล่าวรายละเอียดในที่นี้เพราะนักวินัยทราบกันดี
เมื่อพิจารณากว้างออกไปโดยครอบคลุมถึงคำสอนรุ่นหลังๆหรือ ลำดับต่อมา ท่านก็มีหลักเกณฑ์ที่จะให้
ความสำคัญในการวินิจฉัยลดหลั่นลงมาโดยวางเกณฑ์วินิจฉัยคำสอนความเชื่อและการปฏิบัติเป็นสี่ขั้นคือ (ที.อ.2/172 ; วินย.อ.1/271 ; วินย.ฎีกา 3/352)
1.สุตตะ ได้แก่ พระไตรปิฎก
2.สุตตานุโลม ได้แก่ มหาปเทส ยอมรับอรรถกถาด้วย
3.อาจาริยวาท ได้แก่ อรรถกถา พ่วง ฎีกา อนุฎีกา ด้วย
4.อัตตโนมติ ได้แก่ มติของบุคคลที่นอกจากสามข้อต้น”
สิ่งที่ข้าพเจ้าชี้แจงไว้ข้างต้นนั้น เป็นการแสดงให้เห็นว่า ในทางพระพุทธศาสนาได้วางรากฐานการตรวจสอบคำสอนอย่างครบถ้วน การที่ยึดเพียงพระเถระรูปใดรูปหนึ่ง(อัตตโนมติ) เพื่อพิสูจน์ว่าหลักการปฏิบัติของตนถูกต้องนั้น จึงไม่ใช่วิสัยที่เป็นไปได้
ในขณะเดียวกัน อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล ปฏิเสธที่จะยึดพระไตรปิฏก หรือ สุตตะ ซึ่งเป็นหลักวินิจฉัยที่สูงสุดในพระพุทธศาสนา ซึ่งใน (วินย.ฎีกา.2/71) กล่าวไว้ว่า “เพราะว่าเมื่อค้านสุตตะ ก็คือค้านพระพุทธเจ้า”
การที่ อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล กล่าวว่า “พระพุทธองค์ไม่เคยสอนให้ท่องจำ” นั้น ขอแก้ว่าพระพุทธองค์ทรงให้ท่องจำพระไตรปิฏก ซึ่งตรัสไว้ใน (จตุกฺก.อํ.21/198/160) ความว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ! พวกภิกษุในธรรมวินัยนี้
เล่าเรียนสูตรอันถือกันมาถูก ด้วยบทพยัญชนะที่ใช้กันถูก
ความหมายแห่งบทพยัญชนะที่ใช้กันก็ถูก ย่อมมีนัยอันถูกต้องเช่นนั้น
ภิกษุทั้งหลาย ! นี่เป็นมูลกรณีที่หนึ่ง ซึ่งทำให้
พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป”
การที่ อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล กล่าวว่า “พระพุทธองค์ทรงสอนให้ยึดธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่ยึดคำเป็นที่พึ่ง” แก้ว่า ธรรมนั้น หมายรวม “ปริยัติธรรม” หมายถึงคำสอนของพระพุทธองค์ที่รวบรวมเป็นบทเรียนคือพระไตรปิฎกด้วย รวมไปถึงกล่าวถึง “อินทรีย์สังวร และ สติ” ก็ล้วนนำมาจากพระไตรปิฎกเช่นกัน จึงเป็นการกล่าวที่ย้อนแย้งตัวเอง
และการที่ อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล กล่าวว่า “พระพุทธองค์ทรงสอนให้ยึดธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่ยึดคำเป็นที่พึ่ง พระไตรปิฎกก็เป็นดุจเข็มทิศชี้ทาง ไม่ใช่ยึดเข็มทิศนั่นว่าเป็นทาง จะถึงทางมันต้องออกเดิน ไม่ใช่นั่งกอดเข็มทิศ” ใน วิภงฺค.อ.(สมฺโมหวิโนทนี) หน้า ๕๑๔ (มจร.) กล่าวไว้ว่า
“แม้ภิกษุผู้มีปัญญาทราม นั่งในท่ามกลางผู้อุปัฏฐากทั้งหลายแล้ว กล่าวอยู่เป็นต้นว่า “พวกเราละทิ้งพระปริยัติธรรมแล้ว ด้วยความคิดว่า 'เมื่อเราตรวจดูธรรมสามหมวดที่ทำให้สัตว์เนิ่นช้าในมัชฌิมนิกายอยู่, มรรคนั่นแหละมาแล้วพร้อมด้วยฤทธิ์, ธรรมดาพระปริยัติธรรม เป็นสิ่งที่กระทำได้โดยไม่ยากสำหรับพวกเรา, แท้จริง การสนใจในพระปริยัติธรรม ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ได้” ดังนี้ ย่อมแสดงความที่ตนเป็นผู้มีปัญญามาก
ก็เมื่อภิกษุกล่าวอยู่อย่างนี้ ย่อมให้การทำลายล้างในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น, ชื่อว่า มหาโจรผู้เช่นกับด้วยภิกษุนี้ ย่อมไม่มี. เพราะว่า บุคคลผู้ทรงพระปริยัติธรรมไว้ ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ หามีไม่”
ดังนั้นการที่ อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล กล่าวเช่นนี้ถือว่าเป็นการทำลายล้างพระพุทธศาสนาหรือไม่ ?
สุดท้ายนี้ขอยกคำของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ความว่า “ใครก็ตามที่กล่าวอ้างตนปฏิบัติได้โดยไม่อาศัยพระไตรปิฎกก็คือพูดว่า ปฏิบัติตนได้โดยไม่ต้องอาศัยพระพุทธเจ้า เราจะเรียกการปฏิบัตินั้นว่าเป็นพระพุทธศาสนาได้อย่างไร แน่นอนว่านั่นเป็นการปฏิบัติลัทธิความเชื่อหรือความคิดของตัวเขาเองหรือของใครอื่น ที่คิดข้อปฏิบัตินั้นขึ้นมา”
การที่ อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล กล่าวว่า “พระพุทธองค์ทรงสอนให้ยึดธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่ยึดคำเป็นที่พึ่ง” แก้ว่า ธรรมนั้น หมายรวม “ปริยัติธรรม” หมายถึงคำสอนของพระพุทธองค์ที่รวบรวมเป็นบทเรียนคือพระไตรปิฎกด้วย รวมไปถึงกล่าวถึง “อินทรีย์สังวร และ สติ” ก็ล้วนนำมาจากพระไตรปิฎกเช่นกัน จึงเป็นการกล่าวที่ย้อนแย้งตัวเอง
และการที่ อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล กล่าวว่า “พระพุทธองค์ทรงสอนให้ยึดธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่ยึดคำเป็นที่พึ่ง พระไตรปิฎกก็เป็นดุจเข็มทิศชี้ทาง ไม่ใช่ยึดเข็มทิศนั่นว่าเป็นทาง จะถึงทางมันต้องออกเดิน ไม่ใช่นั่งกอดเข็มทิศ” ใน วิภงฺค.อ.(สมฺโมหวิโนทนี) หน้า ๕๑๔ (มจร.) กล่าวไว้ว่า
“แม้ภิกษุผู้มีปัญญาทราม นั่งในท่ามกลางผู้อุปัฏฐากทั้งหลายแล้ว กล่าวอยู่เป็นต้นว่า “พวกเราละทิ้งพระปริยัติธรรมแล้ว ด้วยความคิดว่า 'เมื่อเราตรวจดูธรรมสามหมวดที่ทำให้สัตว์เนิ่นช้าในมัชฌิมนิกายอยู่, มรรคนั่นแหละมาแล้วพร้อมด้วยฤทธิ์, ธรรมดาพระปริยัติธรรม เป็นสิ่งที่กระทำได้โดยไม่ยากสำหรับพวกเรา, แท้จริง การสนใจในพระปริยัติธรรม ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ได้” ดังนี้ ย่อมแสดงความที่ตนเป็นผู้มีปัญญามาก
ก็เมื่อภิกษุกล่าวอยู่อย่างนี้ ย่อมให้การทำลายล้างในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น, ชื่อว่า มหาโจรผู้เช่นกับด้วยภิกษุนี้ ย่อมไม่มี. เพราะว่า บุคคลผู้ทรงพระปริยัติธรรมไว้ ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ หามีไม่”
ดังนั้นการที่ อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล กล่าวเช่นนี้ถือว่าเป็นการทำลายล้างพระพุทธศาสนาหรือไม่ ?
สุดท้ายนี้ขอยกคำของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ความว่า “ใครก็ตามที่กล่าวอ้างตนปฏิบัติได้โดยไม่อาศัยพระไตรปิฎกก็คือพูดว่า ปฏิบัติตนได้โดยไม่ต้องอาศัยพระพุทธเจ้า เราจะเรียกการปฏิบัตินั้นว่าเป็นพระพุทธศาสนาได้อย่างไร แน่นอนว่านั่นเป็นการปฏิบัติลัทธิความเชื่อหรือความคิดของตัวเขาเองหรือของใครอื่น ที่คิดข้อปฏิบัตินั้นขึ้นมา”