อาตาปี ทำกิเลสให้เร่าร้อนด้วยไฟจริงหรือ ?
มีถ้อยแถลงของสำนักเตโชวิปัสสนา ที่กล่าวอธิบายวิธีการดังกล่าวว่า
“เตโชวิปัสสนากรรมฐาน คือ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตามหลักสติปัฏฐานสี่ สายเตโชวิปัสสนามาจากคำว่า เตโช + วิปัสสนากรรมฐานหลักการภาวนา เป็นการจุดธาตุไฟในกายมาเผากิเลส ไม่ใช่เตโชกสิณ ที่เพ่งไฟจากภายนอกเตโชวิปัสสนา เน้นมาที่การมีความเพียรเผากิเลส เป็นเทคนิคในการปฏิบัติ ที่ตีตรงมาที่หัวใจของคำว่า อาตาปี สัมปชาโณ สติมา พึงมีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อนเตโชวิปัสสนา คือ การตั้งสติรู้ กาย เวทนา จิต ธรรม ด้วยเทคนิควิธีการที่ทำให้เกิดธาตุไฟในกายจุดขึ้นมาเผากิเลส ทำให้จิตบริสุทธิ์อย่างรวดเร็ว อันเป็นวิธีปฏิบัติวิปัสสนาทางลัดตัดตรงสู่นิพพาน ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่ไม่เคยมีใครได้รู้หลักการภาวนานี้มาก่อน”(ถ้อยแถลง.(ม.ป.ป.)สืบค้นเมื่อ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๑, จากhttp://techovipassana.org)
ข้าพเจ้ามีความสงสัยว่าอาตาปีหมายความว่าอย่างไร จึงได้ไปเปิดในพระไตรปิฎกฉบับของมหามกุฏราชวิทยาลัย และพบคำอธิบายในอรรถกถาความว่า
“อาตาปี แปลว่า มีความเพียร
จริงอยู่ผู้มีความเพียรนั้น เป็นผู้ประกอบด้วยวิริยารัมภะ (ปรารภความเพียร) ดังที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า
ผู้ปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม เพื่อยังกุศลธรรมให้เกิดขึ้น มีกำลังใจมีความเพียรมั่น ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย ชื่อว่า อาตาปี เพราะ มีปกติเผากิเลสได้โดยสิ้นเชิง”
(อรรถกถาอาตาปีสูตร ขุ.อิติ.๔๕/๒๐๕/๒๑๒)
ซึ่งข้อความในอรรถกถานั้นได้สอดคล้องกับ คำพูดของพระอาจารย์มหาบุญมี ปุญฺญวุฑฺโฒ ความว่า
“จิตเผลอไม่มีสติรู้ตัว เป็นไปเองมีวิริยะฝ่ายอกุศลทำให้จิตเผลอ เป็นปัจจัยแก่กายทำตามเคยชิน
เมื่อจิตเผลอเป็นไปแล้วจิตรู้ตัวที่มีวิริยะฝ่ายกุศลเกิดสลับขึ้นมาเพราะได้ปัจจัยเป็นปัจจัยแก่กายเป็นวิริยะที่เกิดขึ้น เพราะได้ปัจจัยคือได้ละเครื่องกังวล ได้กายวิเวก ได้เรียนมาดี (สตาวุธ) ได้ความสะดวก (สัปปายะ) ๗ อย่าง จึงเรียกกิจกรรมความเพียรชนิดนี้ว่าปรารภความเพียรหรืออาตาปียังกิเลสให้เร่าร้อน”
(พระมหาบุญมี ปุญฺญวุฑฺโฒ;๒๕๖๑,น.๑๐๘)
จากอรรถกถาพระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย และ และคำของพระอาจารย์มหาบุญมี นั้นแตกต่างจากถ้อยแถลงของสำนักเตโชวิปัสสนาอย่างสิ้นเชิง เพราะ อาตาปีนั้นไม่ใช่ “การจุดธาตุไฟในกายมาเผากิเลส” แต่เป็น “การปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม เพื่อยังกุศลธรรมให้เกิดขึ้น มีกำลังใจมีความเพียรมั่น ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย”
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ท่านได้กล่าวไว้ในหนังสือกรณีธรรมกาย (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์, น.๔๓๙)ไว้ว่า “ยกมาเล่าไม่หมดไม่ตลอดคงจะตัดเอาแต่ตอนที่เข้ากับความประสงค์ จึงทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้ง่าย” และ (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์, ท้ายเล่ม) ว่า “ประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัยก็ร้ายแต่ทำให้พระธรรมวินัยวิปริตร้ายยิ่งกว่า”
ดังนั้นตอนที่ยกคำส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎกมาไม่ทั้งหมด และอีกทั้งนิยามคำศัพท์ที่ผิดพลาดจากอรรถกถา เป็นธรรมปลอมที่เข้ามาในพระพุทธศาสนา ดั่งในสัทธรรมปฏิรูปสูตรความว่า
“สัทธรรมปฏิรูปยังไม่เกิดขึ้นในโลกตราบใด
ตราบนั้นพระสัทธรรมก็ยังไม่เลือนหายไป
และสัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้นในโลกเมื่อใด
เมื่อนั้นพระสัทธรรมจึงเลื่อนหายไป”
(สํ.นิ.๒๖/๖๓๑/๕๓๒)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น